20120927

สติปัฏฐาน 4



สติปัฏฐาน 4

ความ จงใจใคร่ต่อการประพฤติดีจริง ๆ ธุระหน้าที่ที่ตนจะพึงทำทุกอย่าง ควรทำด้วยความจงใจ เพราะความจงใจเป็นเรื่องของสติและหลักใจ ที่จะยังงานนั้น ๆ ให้สำเร็จผู้มีสติและหลักใจประจำตัวและงานจึงชื่อว่าผู้มีความเพียรไปในตัว


            การบำเพ็ญเพียรที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าและพระสัทธรรม คือความจงใจใคร่ต่อการประพฤติดีจริง ๆ ธุระหน้าที่ที่ตนจะพึงทำทุกอย่าง ควรทำด้วยความจงใจ การประกอบการงานทุกประเภทถ้าขาดความจงใจแล้ว แม้จะเป็นงานเล็กน้อย ย่อมไม่สำเร็จลงได้ด้วยความเรียบร้อยและน่าดูเลย เพราะความจงใจเป็นเรื่องของสติและหลักใจ ที่จะยังงานนั้น ๆ ให้สำเร็จ ได้ขาดไปจากตัวและวงงาน ผู้มีสติและหลักใจประจำตัวและงานจึงชื่อว่าผู้มีความเพียรไปในตัว

           ทั้งกิจนอกการในถ้าขาดความจงใจเป็นเครื่องจดจ่อต่องานแล้ว แม้ผู้เป็นนายช่างทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีความฉลาดอยู่บ้าง ทำอะไรมีความสวยงามและแน่นหนามั่นคง แต่ถ้าขาดความจงใจใคร่ต่องานแล้ว แม้งานนั้นจะสำเร็จก็ย่อมลดคุณภาพและความสวยงาม ฉะนั้นความตั้งใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยผู้มุ่งต่อผลของงานอันสมบูรณ์จึงไม่ควรมองข้ามไป
           เราเป็นนักบวชและนักปฏิบัติ ควรเห็นความตั้งใจจด จ่อต่อธุระหน้าที่ที่ตนจะพึงทำทุกประเภท โดยมีความรู้สึกอยู่กับงานนั้น ๆ แม้ที่สุดปัดกวาดลานวัด เช็ดถูกุฎีและศาลา ปูอาสนะ ตงน้ำใช้น้ำฉัน ตลอดการเคลื่อนไหวไปมา เหลือบซ้ายแลขวา ควรมีสติประจำอยู่ทุก ๆ ขณะ ชื่อว่าผู้มีความเพียรประจำตน
           การฝึกหัดนิสัยเพื่อเป็นคนมีสติอันเคยชิน จำต้องอาศัยการงานเป็นเครื่องฝึกหัด การประกอบการงานภายนอกแต่ละประเภทเป็นธุระชิ้นหนึ่ง ๆ การเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาเป็นธุระชิ้นหนึ่ง ๆ ทั้งนี้ถ้ามีสติจด จ่อกับงานที่ทำ ชื่อว่ามีความเพียรไม่ขาดวรรคขาดตอน การฝึกหัดนิสัยของผู้ใคร่ต่อธรรมชั้นสูง จึงควรเริ่มและรีบเร่งฝึกหัดสติไปกับงานทุกประเภทแต่ต้นมือ
           เพื่อความแน่นอนและมั่นคงในอนาคตของเรา โปรดฝึกหัดนิสัยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกลายเป็นคนมีสติประจำตนทั้งขณะที่ทำและขณะอยู่เฉย ๆ ถึงเวลาจะทำความสงบภายในใจ สติจะกลายเป็นธรรมติดแนบอยู่กับใจ และตั้งขึ้นพร้อมกับความเพียรได้อย่างใจหมาย ทั้งมีกำลังพอจะบังคับจิตใจให้หยั่งลงสู่ความสงบได้ตามต้องการ
           ส่วนมากที่พยายามให้จิตเข้าสู่ความสงบไม่ได้ตามใจหวังนั้น เนื่องจากสติที่ เป็นแม่แรงไม่มีกำลังพอ จิตึงมีโอกาสเล็ดลอดออกไปสู่อารมณ์ได้อย่างง่ายดาย เหมือนเด็กซนซึ่งปราศจากพี่เลี้ยงผู้ตามดูแล เด็กอาจได้รับอันตรายในเวลาใดก็ได้
           จิตี่มีความเพลินประจำตนโดยปราศจากสติตามรักษา จึงมีสิ่งรบกวนตลอดเวลาจนหาความสงบสุขไม่ได้ พี่เลี้ยงของจิตือสติกับปัญญา คอยให้ความปลอดภัยแก่จิตตลอดสาย ที่จิติดไปตามอารมณ์ต่าง ๆ คอยพยายามปลดเปลื้องอารมณ์ที่มาเกี่ยวข้องกับใจ และพยายามแสดงเหตุผลให้จิตับทราบเสมอ ใจที่ได้รับเหตุผลจากปัญญาพร่ำสอนอยู่เป็นนิจ จะฝืนคิดและติดอารมณ์ที่เคยเป็นข้าศึกต่อไปอีกไม่ได้ การฝึกหัดสติและปัญญา เพื่อให้มีกำลังคืบหน้าไม่ล่าถอยเสื่อมโทรม โปรดฝึกหัดตามวิธีที่กล่าวมา
           แต่อย่าปล่อยตัวเป็นคนสะเพร่ามักง่ายในกิจการทุกอย่าง ที่มุ่งประโยชน์แม้ชิ้นเล็ก ๆ นิสัยมักง่ายที่เคยเป็นเจ้าเรือนนี้ ยังจะกลายเป็นโรคเรื้อรังฝังลงในใจอย่าง ลึก และจะทำลายความเพียรทุกด้านให้เสียไป จงพยายามฝึกหัดนิสัยให้เป็นคนแน่นอนต่อกิจการที่ชอบทั้งภายนอกภายในเสมอ อย่ายอมปล่อยให้ความสะเพร่ามักง่ายเข้าฟักตัวอยู่ในนิสัยได้เลย
           เพราะผู้เคยฝึกหัดนิสัยให้เป็นคนจริงต่อหน้าที่การงานทุกประเภท ต้องเป็นผู้สามารถจะยังกิจการทุกอย่างไม่ว่าภายนอกภายในให้สำเร็จได้ โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ มากีดขวาง แม้จะอบรมจิตใจซึ่ง เป็นงานสำคัญทางภายใน ก็จำต้องประสบความสำเร็จลงด้วยความรอบคอบ หาทางตำหนิตนเองไม่ได้ เพราะกิจการภายนอกกับภายในส่อถึงใจผู้เป็นประธานดวงเดียวกัน ถ้าใจเป็นนิสัยมักง่าย เมื่อเข้าไปบ่งงานภายในต้องทำงานนั้นให้เหลวไปหมด ไม่มีชิ้นดีเหลืออยู่พอเป็นที่อาศัยของใจได้เลย
           เรื่องภายนอกกับเรื่องภายในส่อถึงกันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการกระทำงานภายนอกจึงส่อถึงเรื่องหัวใจของ เราในทางภายใน ถ้าใครเป็นคนสะเพร่ามักง่ายในกิจธุระหน้าที่ภายนอกแล้ว นิสัยซึ่งเคยนี้ก็หมายถึงเรื่องดวงใจนั่นเอง เป็นผู้บ่งงานในกิจการภายนอกนั้น เมื่อเข้าไปบ่งงานหรือว่าทำกิจการงานภายใน ใจที่เคยเป็นผู้สะเพร่ามักง่ายก็จะต้องทำเช่นนั้น
           เพราะเหตุนั้นการฝึกหัดให้เป็นคนแน่นอน ให้เป็นคนจริงต่อธุระหน้าที่ด้วยความจงใจ ทำจนสุดวิสัยในกิจการงานนั้น ๆ ให้สำเร็จลงด้วยหมดความสามารถของตนด้วยความตั้งใจ ผู้นี้แลเมื่อเข้าไปดำเนินภายในจิตใจ คือจะอบรมจิตใจให้ เป็นไปในทางสงบก็ดี ให้เป็นไปในทางปัญญาก็ดี จะเป็นไปโดยรอบคอบทั้งสองทาง คือความสงบในเมื่อปรากฏขึ้นภายในใจ ก็จะมีความรอบคอบในความสงบของตน เมื่อออกพิจารณาในทางปัญญาก็จะรอบคอบในทางปัญญาของตน ปัญญารอบคอบปัญญา
           เหมือนกันกับว่าเหล็กแข็งกับเหล็กอ่อนสามารถจะบังคับกันได้ เรียกว่าเหล็กกล้าสามารถบังคับเหล็กอ่อนหรือตัดเหล็กอ่อนก็ได้อย่างที่เรา เคยเห็นกันอยู่ปัญญาที่มีความฉลาดสามารถที่จะพิจารณาปัญญาส่วนละเอียดได้ เช่นเดียวกัน นี่ขึ้นอยู่กับการฝึกหัดนิสัย
           ให้พยายามฝึกนิสัยของตนเสมอตั้งแต่ต้นทาง ต้นทางก็หมายถึงใจดวงนี้ปลายทางก็หมายถึงใจดวงนี้หยาบก็หยาบอยู่ที่ตัวของ เราเอง เข้าสู่ความละเอียดก็เข้าสู่ความละเอียดอยู่ที่ตัวของเราเอง นี่เป็นการเทียบเฉย ๆ ว่าต้นทางหรือปลายทาง
           คำว่าต้นทางหมายถึงว่าเริ่มทำงานทีแรกหรือเริ่มอบรมจิตใจทีแรกเรียกว่าต้น ทาง การเริ่มทำงานในทางด้านจิตใจของเราไปถึงขั้นมีความสงบมีความเยือกเย็นจิต เป็นสมาธิและมีความแยบคายทางด้านปัญญาบ้างนี้เรียกว่ากลางทางจิตีความเฉลียว ฉลาดทั้งด้านสมาธิก็ละเอียด ทั้งด้านปัญญาก็มีความสามารถจนถอดถอนตนของตนให้พ้นจากสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ได้ นั้นเรียกว่าปลายทาง
           แต่เมื่อสรุปความลงแล้วต้นกับปลายก็เหมือนกันกับผลไม้ผลไม้เราจะเรียกได้ไหม ว่าต้นของผลไม้ปลายของผลไม้มองดูที่ไหนก็เป็นผลไม้ลูกเดียวนั้นเองเหมือน อย่างมะพร้าวเราจะชี้ถูกไหมว่าปลายของมะพร้าวลูกหนึ่งๆ นั้นอยู่ที่ไหนต้นของเขาอยู่ที่ไหนในมะพร้าวลูกนั้นก็เรียกว่ามะพร้าวลูก หนึ่งเท่านั้นไม่มีต้นไม่มีปลาย
           เรื่องของใจก็ทำนองเดียวกันนั้น แต่เราพูดถึงเรื่องการปฏิบัติคือกิริยาของใจที่จะพินิจพิจารณาในความหยาบ ปานกลางหรือความละเอียดแห่งความเป็นอยู่อารมณ์ที่เป็นอยู่อุบายที่จะพิจารณา ในอารมณ์เหล่านั้นมีความหยาบมีความปานกลางหรือมีความละเอียด ซึ่งเกิดขึ้นมาจากใจดวงเดียวต่างกันเพียงเท่านี้เอง จึงเรียกว่าตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนปลาย เรียกว่าต้นทางหรือปลายทางมีความหมายได้เพราะอาการของจิต หรือสิ่งแวดล้อมของจิตีความหยาบความละเอียดเท่านั้น
           ขอให้พากันฝึกหัดนิสัยของตนให้เป็นคนจริงเสมอ อย่าเป็นคนวอกแวกคลอนแคลน อย่าเป็นคนจับจด ฝึกหัดนิสัยให้จริว่าจะไปต้องไป ว่าจะอยู่ต้องอยู่ ว่าจะทำต้องทำ กำหนดเวล่ำเวลาอย่างใดไว้แล้วอย่าให้เคลื่อนคลาดในเวล่ำเวลา ซึ่งตนของตนได้กำหนดเอาไว้ ตนของตนได้เอามือลงเขียนไปแล้วให้เอามือลบ อย่าทำทำนองที่ว่ามือเขียนแล้วลบด้วยเท้า เราตั้งความสัตย์ใส่ตัวของเราเอง แต่ก็ไม่มีใครที่จะมาสามารถทำลายความสัตย์ของเรา เราเสียเองเป็นผู้ทำลายความสัตย์ของเราอย่างนี้ เรียกว่าเราเขียนด้วยมือลบด้วยฝ่าเท้าเป็นการไม่ถูกตามหลักธรรมของสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้า
           เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นผู้มีความแน่วแน่ต่อความดำริต่อความคิดหรือต่อความ ตัดสินใจของตนเสมอ ถ้าเราได้ตัดสินใจลงในกิจการงานอันใดที่เห็นว่าเป็นการถูกต้องแล้วจงเป็นผู้ พลีชีพลงเพื่อความสัตย์หรือเพื่อกิจการนั้นๆ เสมอจะเป็นนิสัยที่แน่นอนเป็นนิสัยคนจริงไม่เป็นนิสัยที่ว่าวอกแวกคลอนแคลน ไว้ใจไม่ได้
           เมื่อเราทำตัวของเราให้ไว้ใจของเราไม่ได้แล้วเราจะหวังพึ่งใครศีลก็เป็น เรื่องของเราจะพยายามรักษาให้สมบูรณ์ แต่เราก็ไม่ไว้ใจในการรักษาศีลของเราเพราะเราเป็นคนวอกแวกคลอนแคลนไม่แน่นอน ในใจของตนที่จะรักษาศีลด้วยกายวาจาใจให้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แล้วเราจะ อาศัยใครเป็นที่ไว้ใจ เมื่อเราเองเป็นผู้ตั้งใจจะรักษาศีลให้เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ แต่เราก็ไม่ไว้ใจเราเพราะเราเป็นคนไม่แน่นอน และคุณสมบัติซึ่งจะเกิดขึ้นจากศีลนั้นก็เป็นคุณสมบัติที่ไม่แน่นอนเช่นเดียว กันเพราะเหตุไม่แน่นอนผลก็ต้องตามรอยกันไปนั่นเอง
           ถึงจะพยายามทำสมาธิให้เกิดเราก็ไม่แน่นอนในกิจในธุระหรือในการกระทำของเรา ที่จะสามารถยังจิตของเราให้เป็นไปเพื่อสมาธิ ตั้งแต่สมาธิขั้นหยาบจนกระทั่งถึงสมาธิขั้นละเอียด เมื่อเราเป็นผู้ไม่แน่นอนในกิจการของเราในหน้าที่ของเราตัดสินใจลงไม่ได้ แล้วเราก็เป็นคนหลักลอยสมาธิก็ไม่มีศีลก็เป็นศีลลอยลมสมาธิก็ลอยลมปัญญาก็ ลอยลมหาอะไรเป็นสาระแก่นสารในตัวของเราไม่ได้นี่โทษแห่งความไม่แน่นอน โทษแห่งความเป็นคนไม่จริงตัดสินใจของตนลงสู่หลักแห่งธรรมที่พระองค์เจ้าทรง ตรัสไว้ชอบแล้วยังไม่ได้ เราจะหวังผลมาจากที่ไหนเล่า
           ปัญญาจะหุงต้มแกงกินเหมือนอย่างอาหารหวานคาวไม่ได้ ขอให้บรรดาท่านทั้งหลายจงทราบเสมอและทราบทุกขณะว่าปัญญานั้นจะเกิดขึ้นจาก ผู้ที่ชอบคิดชอบค้นชอบพิจารณาคนไม่มีปัญญาไม่สามารถจะรักษาสมบัติจะประกอบ การงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความเรียบร้อย ไม่สามารถจะรักษาสมบัติให้ปลอดภัยจากโจรจากมารได้ไม่ว่าทางโลกและทางธรรมคน มีความฉลาดคือคนมีปัญญาสามารถที่จะประกอบการงานตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ จนสามารถประกอบได้ถึงการงานที่เป็นชิ้นใหญ่ที่สุดขึ้นอยู่กับปัญญา
           เรื่องการปฏิบัติพระศาสนาสำคัญอยู่ที่ปัญญาสติเมื่อมีความกระเทือนขึ้นภายใน ใจปัญญาต้องรับช่วงเสมอสิ่งที่มาสัมผัสให้จิตได้รับความกระเพื่อมแสดงให้ เห็นแล้วว่ามีความรู้สึกในสิ่งที่มาสัมผัสได้เริ่มขึ้นแล้วสติเป็นผู้รับรู้ ในวาระที่สองปัญญาเป็นผู้รับช่วงไปจากสติเป็นวาระที่สาม ให้ฝึกหัดตนของตนเป็นทำนองนี้จิตจะได้อยู่ในกรอบของสติจะได้อยู่ในกรอบของ ปัญญา
           เมื่อปัญญาเป็นผู้ที่ได้ฝึกฝนอบรมมาจนเคยชิน จนกลายเป็นนิสัยของคนที่ชอบคิดอานไตร่ตรองดูเหตุผลตัดสินตนของตนได้ด้วยความ ถูกต้องเพราะอำนาจแห่งปัญญาแล้ว แม้จะเข้าไปข้างในคือหมายถึงใจโดยเฉพาะก็ต้องเป็นผู้สามารถที่จะตัดสินใจลง ได้ด้วยหลักเหตุผล เพราะอำนาจของปัญญาอีกเช่นเดียวกัน
           เพราะเหตุนั้นจงพากันพยายามสติกับปัญญาให้แนบกับตัวไปทุกเวลาตาถึงไหนให้สติ กับปัญญาไปถึงนั้น หูได้ยินถึงไหนสติกับปัญญาให้ถึงที่นั้น จมูก ลิ้น กาย มีอะไรมาสัมผัสชั่วระยะไกลใกล้แค่ไหน หยาบละเอียดแค่ไหน สติกับปัญญาให้ตามรู้ ให้ได้รับความรู้สึกกันอยู่เสมอ อารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นภายในใจสติกับปัญญาตามรอบรู้ ตามพิจารณากันอยู่เสมอ

           ท่านผู้ที่จะพ้นไปจากโลกท่านทำอย่างนี้ท่านไม่ได้ทำอย่างไม้ซุงทั้งท่อนที่ ทิ้งอยู่ให้เด็กเขาขึ้นบนไม้ซุงทั้งท่อนนั้นแล้วขี้รดลงไป เมื่อเราทำตัวของเราให้เป็นเช่นเดียวกับไม้ซุงทั้งท่อนแล้วกิเลสตัณหาอาสวะ จะมาทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส เครื่องสัมผัส ล่วงไหลเข้ามาสู่อายตนะภายในคือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็จะขี้รดลงไปถูกหัวใจดวงนั้น
           เพราะหัวใจดวงนั้นเป็นไม้ซุงทั้งท่อนไม่มีความแยบคาย ไม่มีความเฉลียวฉลาด ไม่มีความรอบคอบต่อตนเอง ต่ออารมณ์ทั้งหลายทั้งภายนอกภายในจนกลายเป็นขอนซุงทั้งท่อนให้กิเลสตัณหาอา สวะขี้รดทั้งวันทั้งคืนนี่ไม่สมควรสำหรับผู้ที่จะดำเนินเพื่อวิวัฏฏะคือความ พลิกโลกสงสารให้ออกจากจิตใจของตน จึงไม่ควรทำใจของตนให้เป็นซุงทั้งท่อนขอให้ท่านทั้งหลายได้ทราบไว้อย่างนี้
           เรื่องของสติ เรื่องของปัญญา เรานั่งอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าพยายามระวัง พยายามคิดค้น สติกับปัญญาจะ มีอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ขึ้นอยู่กับใครทั้งนั้นขึ้นอยู่กับบุคคลผู้ใคร่ต่อการระมัดระวังผู้ ใคร่ต่อการพิจารณาสอดส่องหรือไตร่ตรองในเหตุทั้งหลายที่มาสัมผัส ซึ่งเป็นไปอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนยืนเดินนั่งนอนมีแต่ธรรมชาติที่จะมา กระตุ้นเตือนหัวใจของเราให้สติได้รับรู้ให้ปัญญาได้ไตร่ตรองทั้งนั้นเดินไป ไหนตาถึงไหนให้มีสติปัญญาไปถึงที่นั่นนี้แลนักปฏิบัติเพื่อความรอบคอบทั้ง ภายนอกเข้าสู่ภายในต้องเป็นไปกับสติหรือปัญญาอย่างนี้
           ถ้าเราทำเหมือนอย่างขอนซุงทั้งท่อนเดินไปก็สักแต่ว่าเดินนั่งก็สักแต่ว่า นั่งภาวนาก็สักแต่ว่าความตั้งไว้เบื้องต้นในใจเท่านั้น แล้วนั่งอยู่เหมือนกับหัวตอความรู้สึกความรอบคอบในการงานคือการภาวนาของตน ไม่มีก็เหมือนกันกับหัวตอไม่เห็นผิดแปลกกัน
           อันใดนี่ขอให้เราทั้งหลายได้พินิจพิจารณารื้อฟื้นสติซึ่งมีอยู่กับหัวใจของ เราขึ้นมารื้อฟื้นปัญญาที่มีอยู่กับหัวใจของเราขึ้นมาให้เป็นประโยชน์สำหรับ หัวใจของเราเอง
           กิเลสไม่ได้เกิดขึ้นจากที่อื่นเกิดขึ้นจากหัวใจของเรานี้เอง แต่ก็เหยียบย่ำหัวใจเพราะหัวใจเป็นขอนซุงทั้งท่อนไม่สามารถที่จะปลดเปลื้อง สิ่งมัวหมองซึ่งเกิดขึ้นจากตนกิเลสจึงกลายเป็นขี้รดใจดวงนั้นลงไปทุกวันๆ ท่านจึงเรียกว่าขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ลืม อย่างนี้เป็นต้น ขี้อย่างนี้เกิดขึ้นจากหัวใจทั้งนั้นที่ท่านว่าขี้หมายถึงว่าเป็นของที่หยาบ ก็เลยให้ชื่ออย่างนั้นเสีย
           เมื่อเราเป็นผู้มีความมุ่งประสงค์ที่จะทำตัวของเราให้เป็นไป เพื่อความสะดวกภายในจิตใจจงเป็นผู้ฝึกหัดสติเสมอพยายามตั้งสติให้ดีตรวจตรอง ดูอวัยวะทุกส่วนมีสติเป็นรั้วกั้นจิตอย่าให้เลยขอบเขตของสติไปได้ปัญญาเป็น ผู้จาระไนอยู่ทางภายในพิจารณาให้ชัดนี่พูดถึงเรื่องการฝึกหัดนิสัยในเบื้อง ต้นต้องเป็นผู้มีความตั้งอกตั้งใจฝึกหัดจริงๆ เมื่อเรามีการตั้งอยู่เสมอจนชินต่อนิสัยเราแล้วเราเดินไปที่ไหนสติจะต้อง เป็นไปอยู่ ปัญญาก็ต้องเป็นไปอยู่เช่นนั้นภัยจะมาจากที่ไหน
           เหตุที่ภัยจะเกิดขึ้นให้ใจของเราได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากว่าจิตไม่มีสติไม่มีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตนอะไรซึ่งเกิดขึ้นจากใจ เองจึงเกิดขึ้นได้ทุกๆ ประเภทและไม่เลือกกาลเวลาด้วยไม่เลือกอิริยาบถใดด้วย ทีนี้เราก็มาตำหนิติโทษเราว่า จิตใจไม่สงบ จิตใจได้ รับความเดือดร้อน แต่เราเสาะแสวงหาความเดือดร้อนเสียเองนั้นเราไม่คำนึงอาการที่แสวงหาความ เดือดร้อนโดยไม่รู้สึกตัวนี้ท่านเรียกว่าสมุทัยเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เมื่อก่อไฟขึ้นมาแล้วจะบังคับไม่ให้ร้อนก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน เมื่อก่อเหตุให้เป็นเรื่องของสมุทัยขึ้นมาแล้วผลที่จะพึงได้รับก็ต้องเป็น ทุกข์จะกลายเป็นสุขไปไม่ได้
           พระองค์ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าและสาวกทั้งหลาย ท่านเดินจงกรมปรากฏในประวัติของสาวกว่า บางองค์ถึงฝ่าเท้าแตกก็มี อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็ส่อให้เห็นแล้วว่าท่านพยายามเอาจริงเอาจังแค่ไหน เพราะความที่จะแหวกว่ายจากวัฏจักรอันนี้ไป ให้พ้นไปเสียได้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ได้รับความทุกข์ความยากความลำบาก เช่นสัตว์ทั้งหลายที่เป็นอยู่ ณ บัดนี้มีตัวของเราเป็นต้น ซึ่งได้เคยผ่านความทุกข์ความทรมานมาเช่นเดียวกัน จึงไม่ควรที่จะทำความกล้าหาญหรือร่าเริงต่อความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้
           ใจทำไมจึงเป็นไปเพื่อความสงบไม่ได้ ลองสังเกตดูซิวันหนึ่ง ๆ ถ้าเราตั้งข้อสังเกตโดยเฉพาะในหัวใจของ เราแล้ว เราจะได้เห็นข้อบกพร่องของเราทั้งวัน และในขณะที่เราได้เห็นข้อบกพร่องของเราทั้งวันนั้น แสดงว่าเราก็มีข้อสมบูรณ์ขึ้นด้วยกัน เพราะเรามีสติเราจึงเห็นข้อบกพร่องของเรา ความที่เรามีสตินั้น เองเรียกว่าเราได้ความสมบูรณ์ขึ้นมาเป็นลำดับ ๆ หรือว่าสมบูรณ์ตามขั้น เริ่มจะเป็นความสมบูรณ์เป็นขั้น ๆ ขึ้นไป ต้องพยายามพิจารณาอย่างนี้
           เราไม่ต้องสนใจกับเรื่องอะไรทั้งนั้น ให้สังเกตดูตั้งแต่เรื่องหัวใจที่ จะปรุงเรื่องอะไรขึ้นมา แล้วบังคับไว้ภายในกายกับจิตนี้ ท่านว่าสติปัฏฐาน ๔ คือฐานที่ตั้งแห่งสติ พูดง่าย ๆ ถ้าจิตเราได้ตั้งอยู่กับกายนี้แล้ว สติบังคับสติไว้กับกายนี้แล้ว ปัญญาท่องเที่ยวอยู่ในสกลกายนี้แล้ว เรียกว่าได้เดินทางในองค์แห่งอริยสัจอย่างสมบูรณ์
           ทุกข์ ก็เป็นอันที่จะรู้เท่ากันในองค์แห่งอริยสัจนี้ สมุทัยก็เป็นอันว่าจะได้ละได้ถอนกันอยู่ในองค์แห่งอริยสัจนี้ มรรคก็เป็นอันว่าเราได้บำเพ็ญอยู่ในตัวของเรา พร้อมกับเวลาที่เราบังคับจิตใจหรือ ไตร่ตรองในธาตุขันธ์ของเรานี้ นิโรธะ ความดับไปแห่งความทุกข์จะแสดงให้เราเห็นเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่ชั้นหยาบที่สุด ชั้นกลาง จนกระทั่งถึงชั้นสูงสุด ไม่ได้นอกเหนือไปจากสติปัฏฐานทั้งสี่
           เพราะเหตุนั้นสติปัฏฐานทั้งสี่จึงเป็นทางเดินของพระอริยเจ้าทุก ๆ ประเภท
           กาย หมายถึง อวัยวะของเราทุกส่วนที่เรียกว่ากองรูป
           เวทนา คือ ความสุข ความทุกข์และเฉย ๆ
           จิต หมายถึง เจตสิกธรรมที่ปรุงขึ้นไม่ขาดวรรคขาดตอน
           ธรรม หมายถึง อารมณ์ที่เป็นเป้าหมายของใจ
           นี่เรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ บรรดาพระอริยเจ้าทุก ๆ ประเภทได้ถือสติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ของใจ
           การพิจารณากายจะเป็นกายนอกก็ตามกายใน ก็ตาม โดยความเป็นของไม่เที่ยงบ้าง โดยความเป็นทุกข์บ้าง โดยความเป็นอนัตตาบ้าง โดยความเป็นของปฏิกูลโสโครกบ้าง เหล่านี้เรียกว่าพิจารณากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายนี้มีทั้งกายนอกกายใน กายใน หมายถึงกายของเราเอง กายนอกหมายถึงกายของสัตว์อื่นบุคคลอื่น หรือสภาพที่จะเป็นอุบายแห่งปัญญาที่เกี่ยวกับด้านวัตถุ เราจะเรียกว่ากายโดยอนุโลมก็ได้ นี่เรียกว่ากายนอก พิจารณากายนอก ก็ตามกายในก็ตาม ให้เป็นไปเพื่อความเห็นโทษ ให้เป็นไปเพื่อความแก้ไข ให้เป็นไปเพื่อความฉลาด ปล่อยวางในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เรียกว่าพิจารณาในสติปัฏฐาน
           การ พิจารณากายทั้งหลายที่กล่าวมานี้เพื่อให้เห็นโทษในส่วนแห่งกาย ซึ่งเป็นที่ยึดถือของอุปาทาน เมื่อได้พิจารณาเห็นชัดในส่วนแห่งกายนั้นแล้ว ทั้งกายนอกทั้งกายในโดยทางปัญญา ความสำคัญในกายนั้นว่าเป็นอย่างไรซึ่งเคยเป็นมา ก็จะค่อยบรรเทาหรือเบาลงไป หมดความสำคัญว่ากายนั้นเป็นอะไรอีก เช่นอย่างเป็นของสวยของงาม เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นของน่ารักน่าชอบใจ หรือน่ากำหนัดยินดี เหล่านี้เป็นต้น ก็จะขาดลงเพราะอำนาจของปัญญา เป็นผู้วินิจฉัยหรือตัดสิน ความสำคัญของใจซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งอุปาทานที่ไปเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ก็จะค่อยหมดไปเป็นลำดับ
           เช่น อย่างองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนพระสาวกให้ไปอยู่ในป่าช้า ให้พิจารณาซากอสภในป่าช้า ก็หมายถึงเรื่องกายนอกนั่นเอง การพิจารณาสภาพของตัวทั้งหมดนี้เรียกว่ากายใน การพิจารณาไม่เพียงว่าครั้งหนึ่งครั้งเดียว ต้องถือเป็นกิจจำเป็นเช่นเดียวกันกับเรารับประทานอาหารเป็นประจำวัน แต่การรับประทานอาหารนั้นเป็นเวล่ำเวลา เช่นอย่างวันหนึ่ง ๓ มื้อบ้าง ๒ มื้อบ้าง หรือมื้อเดียวบ้าง แต่การพิจารณาในส่วนแห่งกาย จะเป็นกายนอกก็ตาม กายในก็ตาม เป็นอาจิณ ยิ่งได้ตลอดเวลายิ่งดี สำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์และเพื่อความถอดถอนอุปาทานออกจากกาย ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความลุ่มหลง นี่เรียกว่าการพิจารณากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
           เมื่อ สรุปความลงในผลแห่งการพิจารณาแล้วก็สักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ด้วย ไม่ใช่บุคคลด้วย ไม่ใช่เราด้วย ไม่ใช่เขาด้วย สักแต่ว่ากายเท่านั้นโดยทางปัญญาจริง ๆ เมื่อจิตได้เห็นชัดด้วยปัญญาจริง ๆ อย่างนี้แล้ว ความกังวลเกี่ยวข้องในเรื่องกาย ความเสาะแสวงหาทางอารมณ์ที่เกี่ยวกับกาย ความที่เรายึดมั่นถือมั่นในส่วนกายทั้งหลายเหล่านี้เป็นผลอันหนึ่ง เมื่อตัวเหตุคืออุปาทานได้หมดไปแล้วเพราะอำนาจของปัญญา สิ่งเหล่านี้ก็ต้องหมดไปหรือดับไปพร้อม ๆ กันไม่มีอันใดเหลือ
    
           ทีนี้เราพึงทราบว่าการพิจารณาในสติปัฏฐาน ๔ นี้ เราจะต้องพิจารณากายเสียก่อน แล้วก็ต่อไปเวทนา ต่อไปจิตและต่อไปธรรมนั้น เป็นการคาดผิดไป อันนี้เป็นชื่อของส่วนแห่งสภาพซึ่งมีอยู่ด้วยกันแล้วท่านแยกออกเป็น ๔ ประเภทเท่านั้น ในประเภททั้งหมดนี้มีอยู่กายอันเดียวนี้ เวทนาก็อยู่กาย จิตก็อยู่ในกายอันนี้ ธรรมก็อยู่ในกายอันนี้ แต่ท่านแยกประเภทออกไป ฉะนั้นความเข้าใจของเราอาจจะมีความเห็นผิดไปว่า เมื่อท่านแยกออกเป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรมแล้ว ถ้าหากเราจะพิจารณาในเวทนา หรือในจิต ในธรรม ส่วนใดส่วนหนึ่งก่อนแล้วจะเป็นการผิดอย่างนี้ นี่อาจเกิดขึ้นในความหลงผิด
           แต่แท้ที่จริงเวลาเราพิจารณากาย เวทนาก็แฝงอยู่ในกายนั้น ความทุกข์ไม่เลือกกาลใด จะเป็นกาลที่เรากำลังพิจารณากายอยู่ก็ตาม หรือนอกจากกายนั้นแล้วก็ตาม เกิดขึ้นได้ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งความเฉย ๆ เช่นเป็นโอกาสหรือเป็นช่องที่เราจะควรพิจารณาในเวลาเวทนาเกิดขึ้นนั้น ให้ได้ทราบชัดว่าเวทนานี้เป็นอะไร นอกจากว่ากายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแล้ว เราจะเห็นว่าเวทนาที่เกิดขึ้นนี้เป็นอะไรอีกในบรรดาเวทนาทั้งสามนี้
           เราก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาในเวทนาทั้งสามนี้อีก มีลักษณะเช่นเดียวกันว่า อนิจฺจํ เวทนาจะเป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม เฉย ๆ ก็ตามเกิดขึ้น ทุกกาลทุกสมัยต้องเป็นไปกับด้วยไตรลักษณ์ทั้งนั้น ไม่มีระยะเดียวที่จะห่างจากไตรลักษณ์ คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไป แล้วจะปฏิเสธความเป็นสัตว์เป็นบุคคลตายตัวอยู่เช่นนั้นตามสภาพของเขา นี่เรียกว่าพิจารณาเวทนา
           เราจะพิจารณากาลใดสมัยใดไม่ขดข้องทั้งนั้น เพราะเป็นเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ แล้วความติดในอาการทั้งสี่ หรือในสภาวธรรมทั้งสี่นี้ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม นี้ เราไม่ได้เลือกติดตามกาลตามเวลาของเขา ติดได้ทุกขณะ ติดได้ทุกเวลา ในสภาวธรรมทั้งสี่นี้ เพราะเหตุนั้นการที่เราจะพิจารณาแก้ไขในสภาวธรรมทั้งสี่นี้ จึงไม่จำเป็นจะต้องกำหนดเวล่ำเวลา
           คำว่าพิจารณาจิตจะพิจารณาอย่างไร.. จิตก็พิจารณาเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นจากใจนั่นเองว่าไปสำคัญมั่นหมายในกายในเวทนา เหล่านี้ เป็นอะไรบ้าง ปรุงแต่งจะเป็นกายนอกก็ตามกายในก็ตาม ปรุงว่าอย่างไร หมายว่าอย่างไร กำหนดพิจารณาตามกระแสของใจ สิ่งที่ไปหมายหรืออารมณ์เหล่านั้นเป็นธรรมขึ้นมาแล้วที่นี่ เรียกว่าเป้าหมายนั่นเอง อารมณ์ที่จิตพิจารณาที่จิตจดจ่อนั้น เรียกว่าเป็นเป้าหมายของใจ เป้าหมายนั้นเองท่านเรียกว่าธรรม
           ทีนี้ท่านว่าพิจารณาเวทนาในเวทนานอกอันนี้เป็นปัญหาอันหนึ่งส่วนกายในกายนอก เราพอทราบกันได้ชัดเช่นอย่างกายของคนอื่นหรือเราไปเยี่ยมป่าช้า ก็แสดงว่าเราไปพิจารณากายนอก แต่เวทนาในนี้จะหมายถึงเวทนาอะไร เวทนานอกหมายถึงเวทนาอะไร เวทนานอกถ้าเราจะไปหมายคนอื่นเป็นทุกข์ทนลำบาก หากเขาไม่แสดงกิริยามารยาทอาการให้เราเห็นว่าเขาเป็นสุขหรือเป็นทุกข์แล้ว เราจะมีช่องทางหรือโอกาสพิจารณาเวทนาของเขาได้อย่างไร นี่เป็นปัญหาอยู่
           แต่นี้เพื่อจะให้เป็นสิ่งสำเร็จรูปในทางด้านปฏิบัติของเรา จะถูกก็ตามผิดก็ตาม ข้อสำคัญให้ถือเอาผลประโยชน์ซึ่งเกิดขึ้นในการกระทำของตน เป็นความสุข เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความแยบคาย เป็นไปเพื่อความเฉลียวฉลาดแล้ว ให้ถือว่านั้นเป็นของใช้ได้ เป็นการถูกกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นในสถานที่นี้หรือเวลานี้จะขออธิบายตามอัตโนมัติ หรือความรู้โดยตนได้พิจารณาอย่างไรให้บรรดาท่านทั้งหลายฟัง
           เวทนานอก นั้นหมายถึงกายเวทนา เวทนาในหมายถึงจิตเวทนา คือเวทนาซึ่งเกิดขึ้นในส่วนแห่งกาย จะเป็นการเจ็บท้อง ปวดหัวก็ตาม เจ็บส่วนแห่งอวัยวะ หรือปวดที่ตรงไหนทุกข์ที่ตรงไหนก็ตามในส่วนแห่งอวัยวะนี้ทั้งหมด เรียกว่าเป็นเวทนานอก จะเป็นสุขทางกายก็ตาม เฉย ๆ ขึ้นทางกายก็ตาม จัดว่าเป็นเวทนานอกทั้งนั้น ส่วนเวทนาในนั้น หมายถึงใจได้รับอารมณ์อันใดขึ้นมา เพราะอำนาจของสมุทัยเป็นเครื่องผลักดัน เกิดความทุกข์ขึ้นมาบ้าง เกิดความสุขความรื่นเริงขึ้นมาบ้าง เฉย ๆ บ้าง เรียกว่าเวทนาใน การพิจารณาเวทนานอก การพิจารณาเวทนาใน มีไตรลักษณ์เป็นเครื่องยืนยันหรือเป็นเครื่องตัดสิน เป็นเครื่องดำเนินด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเราได้พิจารณาในส่วนกายให้เห็นชัด ส่วนเวทนานอกขึ้นอยู่กับกายนี้ชัดแล้ว แม้จะพิจารณาเวทนาส่วนภายในนี้ก็ย่อมจะชัดไปได้ เพราะอำนาจของปัญญาที่มีความละเอียดเข้าไปเป็นลำดับ นี่การพิจารณาสติปัฏฐานพิจารณาอย่างนี้
           พิจารณา จิตตามปริยัติท่านกล่าวไว้นั้น บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายก็พอเข้าใจแล้ว กระแสของใจเรามีความเกี่ยวข้องกระดิกพลิกแพลงไปในอารมณ์อันใด คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของใจอยู่เสมอ นี่เรียกว่าพิจารณาจิต คือพิจารณาในขณะเดียวกันนั่นเอง เวลานั่งหรือเวลายืนเวลาทำความเพียรอยู่นั้นเอง ในกาลในสมัยเดียวนั้นเองสามารถที่จะพิจารณาสติปัฏฐานทั้งสี่นี้ไปพร้อม ๆ กันได้
           เพราะ อาการทั้งสี่นี้เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นสับสนปนเปกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้มีการกำหนดว่ากาย้องปรากฏขึ้นก่อน แล้วเวทนาเป็นที่สอง จิตเป็นที่สาม ธรรมเป็นที่สี่ ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่ทั่วสรรพางค์ร่างกายและจิตใจของเรา ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ ทั้งนั้น การที่เราจะพิจารณาในส่วนสภาวะทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นมาสัมผัสกับใจของเราส่วน ใดนั้น เป็นเรื่องถูกต้อง
           เมื่อ ท่านผู้ใดเป็นผู้หักห้ามร่างกายจิตใจของตน บังคับจิตใจของตนให้ท่องเที่ยวอยู่ในสติปัฏฐานทั้งสี่นี้แล้ว เรื่องของสติก็ดี เรื่องของปัญญาก็ดี จะเป็นขึ้นในสถานที่นี้ คำว่าอริยะที่ท่านกล่าวตั้งแต่เบื้องต้นว่า โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ก็ต้องได้อุบายไปจากธรรมทั้งสี่ประเภทนี้เอง ด้วยอำนาจของปัญญา เมื่อพิจารณาให้เห็นชัดแจ่มแจ้งตามเป็นจริงในสภาวะนี้แล้ว ควรจะได้รับผลในธรรมขั้นใดก็ต้องปรากฏขึ้นเป็นขั้น ๆ ตามแต่กำลังความสามารถของตนจะพิจารณาได้ในธรรมขั้นไหน เพราะเหตุนั้นผลจึงปรากฏขึ้นว่าเป็นพระโสดาบ้าง เป็นพระสกิทาคาบ้าง เป็นพระอนาคาบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง อย่างนี้
           การ พิจารณาสติปัฏฐานทั้งสี่ก็ดี การพิจารณาในอริยสัจธรรมทั้งสี่ก็ดี อย่าพึงทราบว่าเป็นคนละทาง และอย่าพึงทราบว่าเป็นคนละประเภท เป็นคนละหน้าที่ ต่างกันตั้งแต่ชื่อเท่านั้น ในหลักธรรมชาติแล้วเป็นอันเดียวกัน กายก็ ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ นี้เรียกว่ากาย
           การ พิจารณาในความทุกข์ความลำบากความทรมานของกายนี้ ก็จัดเป็นกายานุปัสสนาด้วย เป็นทุกขสัจด้วย การพิจารณาถึงเรื่องเวทนาที่เกิดขึ้นทั้งส่วนแห่งกาย ทั้งส่วนแห่งใจ ก็จัดว่าเป็นการพิจารณาเพื่อจะรื้อถอนถึงเรื่องของสมุทัย และทุกข์ทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นเป็นตัวผลในส่วนแห่งกายก็ดี ในส่วนแห่งจิตก็ดี นี้เป็นเรื่องของทุกข์ การพิจารณาเพื่อจะรู้สาเหตุแห่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร นี่เป็นอุบายที่จะถอนสมุทัยซึ่งเป็นรากสำคัญอยู่ภายในใจพร้อม ๆ กันไปแล้ว
           เพราะ เหตุนั้นอริยสัจธรรมทั้งสี่ก็ดี เรื่องสติปัฏฐานธรรมทั้งสี่ก็ดี พึงทราบว่าธรรมชาตินี้เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น ถ้าจะเทียบอุปมาแล้วก็เหมือนดังกับว่า กายของเราทั้งหมดนี้ เราให้ชื่อว่าข้างหน้าข้างหนึ่ง ข้างหลังอย่างหนึ่ง ข้างซ้ายอย่างหนึ่ง ข้างขวาอย่างหนึ่ง ข้างบนอย่างหนึ่ง ข้างล่างอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าข้างบนที่ไหนนอกไปจากกาย ข้างล่างที่ไหนนอกไปจากกาย ข้างหน้าข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวาที่ไหนนอกไปจากกายอันนี้ ออกจากกายอันเดียวกันทั้งนั้น เพราะเหตุนั้นลักษณะอาการที่ท่านว่า ในอริยสัจธรรมทั้งสี่ก็ดี สติปัฏฐานธรรมทั้งสี่ก็ดี พงทราบว่าออกจากธรรมชาติอันเดียวนี้
           เมื่อ ปัญญาของเราได้พิจารณาให้เห็นชัดในส่วนรูป เรียกว่า กายานุปัสสนา ให้เห็นชัดตามเป็นจริง เพราะอำนาจของปัญญาเราพิจารณาไม่หยุดยั้งแล้ว ความปล่อยวางในกายนี้ก็จะปรากฏขึ้นชัดภายในจิตใจของเรา เรียกว่าถอนอุปาทานของกายเสียได้ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องเวทนาทั้งสามให้เห็นชัดตามเป็นจริงเช่นเดียวกับส่วน แห่งกายนี้แล้ว สติ ความจำได้หมายรู้ สังขาร ความปรุง ความคิด วิญญาณ ความรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เห็นชัดเช่นเดียวกันแล้ว ความปล่อยวางในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จากความเป็นตน จากความเป็นเรา เป็นของเรา ก็ต้องปล่อยวางเช่นเดียวกันกับเราปล่อยวางกายเช่นนั้น
           การ กล่าวมาทั้งหมดนี้ หรือการพิจารณาในสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้ พิจารณาตามขั้นของจิตที่มีความเกี่ยวข้อง ติดมั่นพัวพันอยู่ในส่วนใด ก็ต้องคลี่คลายเปิดเผยให้จิตดูว่ามีอะไรบ้างอยู่ภายในนี้ เช่นอย่างพิจารณากาย เหตุที่จะพิจารณากายก็เนื่องจากว่าใจไปสำคัญกายนี้ว่าเป็นอะไรบ้าง ไม่รู้กี่ช่องกี่ทาง ไม่รู้กี่สมมุตินิยมที่ใจไปทำความหมายขึ้นจากกายท่อนเดียวหรือก้อนเดียวนี้ ว่าเป็นสัตว์บ้าง ว่าเป็นบุคคลบ้าง ว่าเป็นหญิง ว่าเป็นชายบ้าง ว่าเป็นของสวยของงามบ้าง ว่าเป็นที่น่ารักใคร่ชอบใจบ้างเหล่านี้ ล้วนแล้วตั้งแต่เกิดขึ้นเป็นความสำคัญที่เกี่ยวกับกายทั้งนั้น
           เมื่อปัญญาได้คลี่คลายดูให้เห็นชัดว่ามีเราอยู่ที่ไหนมีเขาอยู่ที่ไหนในกาย อันนี้ มีของสะอาดของสวยงามอยู่ที่ไหน มีของเที่ยงแท้ถาวรที่ไหน มีความเป็นของเที่ยงที่ไหน มีความไม่แปรอยู่ที่ไหน มีอตฺตา หิอยู่ที่ไหนในส่วนแห่งกายนี้ชี้แจงแสดงโดยทางปัญญาให้ใจได้เห็นชัด ก็เทียบกับว่าคลี่คลายดูสิ่งปกปิดให้ใจให้เห็นชัด ให้ใจได้หายสงสัยในสิ่งเหล่านี้ ว่าไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นไปตามจิตของตนมุ่งหวัง ว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นต้น แล้วจิตก็จะปล่อยวางจากสภาพทั้งหลายเหล่านี้โดยอัตโนมัติของตนเอง ไม่ต้องบังคับให้ถอดให้ถอนให้ปล่อยให้วางแต่อย่างใด เพราะจิตได้เห็นชอบตามปัญญาแล้ว นี่ปล่อยวางมาอย่างนี้
           การพิจารณาเวทนาก็คลี่คลายเช่นเดียวกันกับที่ส่วนกายนี้ให้จิตได้เห็นชัด คลี่คลายดูเวทนาทั้งสาม สุข ทุกข์ เฉย ๆ คลี่คลายดูสัญญาให้ชัดคลี่คลายดูสังขารให้ชัดคลี่คลายดูวิญญาณให้ชัด โดยลักษณะเช่นเดียวกันกับคลี่คลายในส่วนกายด้วยปัญญาให้จิตได้ตรองตามปัญญา รู้ตามปัญญาที่ชี้ช่องบอกทางได้เห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วก็ไม่ต้องบังคับ ให้ถอดถอนจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ โดยความถือว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นต้นเสียนี่เราก็ไม่ต้องบังคับอีกเช่น เดียวกัน
           เพราะอำนาจของปัญญาได้หยั่งทราบทั่วถึงหมดแล้วเปิดดูให้เห็นชัดไม่มีอันใด ลี้ลับเพราะอำนาจของปัญญาจิตก็ถอนเข้ามา ๆกระแสของใจที่วิ่งอยู่ริก ๆ ๆ ต่อสภาวะทั้งหลายเหล่านี้ พร้อมทั้งสัญญาที่มีความสำคัญมั่นหมายในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นอันถอด ถอนมาพร้อม ๆ กัน
           การเห็นโทษในสภาวธรรมทั้งหลายเบื้องต้นก็ต้องเห็นโทษในสภาวธรรมเพราะเราไป เห็นคุณในสภาวธรรม แต่เมื่อได้พิจารณาในสภาวธรรมส่วนหยาบมีรูปเป็นต้น
           แล้วให้ชัดด้วยปัญญาสภาวะทั้งหลายเหล่านั้นก็หมดความลี้ลับเป็นธรรมที่เปิด เผยเป็นสภาวธรรมที่เปิดเผย โดยทางปัญญา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมื่อได้พิจารณาโดยทางปัญญาแล้วก็กลายเป็นธรรมที่เปิดเผยอีกเช่นเดียวกัน ยิ่งจะเห็นกระแสของใจที่เพ่นพ่านอยู่ทั้งวันทั้งคืนเป็นเรื่องที่ว่าตื่นเงา ของตัวอยู่ตลอดเวลาให้ชัดขึ้นแล้วในขณะนี้

           แต่ก่อนถูก รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสและความสำคัญมั่นหมายในสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องปกปิดกำบัง กระแสของใจ จึงไปเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นกลายเป็นคุณเป็นโทษไปเสียหมด โดยเราเป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธแต่ผู้เดียวทั้ง ๆ ที่เราเป็นผู้หลงต่อผู้หลงนั่นเองต่อเมื่อได้คลี่คลายสภาวะทั้งเป็นฝ่ายรูป ทั้งเป็นฝ่ายนามให้ชัดเจนด้วยปัญญาอย่างไม่มีข้อสงสัยแล้วก็ยิ่งจะเห็นกระแส ของใจเห็นกระแสของใจชัดจนกระทั่งถึงเห็นรากฐานของอวิชชาซึ่งเกิดขึ้นจาก ธรรมชาติที่รู้ ๆ เป็นบ่อเกิดแห่งกระแสของใจนี้ ชัดเจนเข้าไปเช่นเดียวกับสภาวธรรมทั้งหลายแล้วเรียกว่าเปิดเผยขึ้นอีก
           คลี่คลายดูความรู้ที่เป็นเจ้าวัฏจักรเป็นความรู้ที่โกหกนี้ให้เห็นชัดด้วย ปัญญาธรรมชาติอันนี้ก็เลยกลายเป็นความเปิดเผยขึ้นมาอีกไม่มีอันใดที่เหลือ หลออยู่ เมื่อธรรมชาติอวิชชาที่เป็นความรู้ลี้ลับเป็นความรู้ที่เต็มไปด้วยโกหกมายา สาไถยให้เห็นชัดด้วยปัญญานี้แล้วธรรมชาติที่ลี้ลับ ธรรมชาติที่ละเอียดที่สุดได้แก่อวิชชาคือความรู้ที่เป็นเจ้าวัฏจักรอันนี้ ได้แตกกระจายหรือเป็นธรรมที่เปิดเผยขึ้นมาแล้วนั้นแลเราจึงจะหมดปัญหาใด ๆ ในเรื่องความปกปิดแห่งสภาวธรรมทั้งหลายก็ดีในเรื่องความลุ่มหลงแห่งสภาวธรรม ทั้งหลายก็ดีไม่มีอันใดที่จะเหลือหลออยู่แล้ว
           จากนั้นไปแล้วธรรมชาติที่บริสุทธิ์พุทโธโดยไม่ต้องเสกสรรแต่อย่างใดได้ปรากฏ เด่นชัดขึ้นมาตามหลักธรรมชาติของตนอย่างแจ่มแจ้งแล้วนั้นเรื่องทั้งหลายจึง จะเป็นอันว่าเปิดเผยอยู่ตลอดเวลารูปไม่เพียงแต่ว่ารูปหญิงรูปชายรูปสัตว์รูป บุคคลรูปสภาวะทั่ว ๆไปทั่วทั้งจักรวาลนี้ กลายเป็นสิ่งที่เปิดเผยขึ้นมาพร้อม ๆกันนามก็เหมือนกัน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทุก ๆอย่างซึ่งไม่มองเห็นด้วยตาก็กลายเป็นธรรมที่เปิดเผยขึ้นมาพร้อม ๆกัน
           เพราะเหตุใดเพราะบ่อเกิดแห่งความลี้ลับได้แก่อวิชชานั้นได้ถูกเปิดเผยขึ้นมา แล้วอย่างชัดเจนด้วยอำนาจของปัญญาสภาวะทั้งหลายทั่วไปทั่วโลกธาตุนี้จึงเป็น อันว่ายุติไม่ได้เกิดเรื่องเกิดราวกับจิตใจของเราต่อไปแล้ววัฏจักรเป็นอัน ว่ายุติกันลงได้ในจุดนี้เอง ต่อจากนั้นไปก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นสิ่งลี้ลับต่อใจดวงนี้ไปได้อีกแล้ว
           ตามภาษาบาลีท่านกล่าวไว้ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ หมดกิจในพระศาสนาหมดทั้งความบำเพ็ญเพื่อใจดวงนี้ให้เจริญยิ่งขึ้นไปอย่างไร อีกหมดทั้งการละการถอนความลี้ลับหรือปิดบังอันใดต่อไปอีกไม่มีเป็นอันว่า สภาวะทั้งหลายได้เปิดเผยเสียทุกอย่างพร้อมทั้งความบริสุทธิ์พุทโธนั้นก็ได้ เปิดขึ้นมาพร้อม ๆกันกับสภาวธรรมทั้งหลายได้เปิดขึ้นมานี่เรียกว่าธรรมเปิดเผยวัฏจักรก็ได้ เปิดเผยวิวัฏจักรก็ได้เปิดเผยขึ้นในขณะเดียวกัน
           นี่ผลแห่งการปฏิบัติผลแห่งการตั้งจิตั้งใจเริ่มตั้งสติปัญญาเริ่มจำเพาะ เจาะจงเริ่มอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญตนของตนด้วยความจำเพาะเจาะจงด้วยความตั้งอก ตั้งใจ ตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งถึงธรรมที่เปิดเผยไปเสียทั้งสิ้นไม่มีอันใดลี้ลับ ในโลกธาตุนี้แม้แต่ว่าวิ วัฏฏะ ที่เรียกว่า พระนิพพานนั้นก็เป็นการเปิดเผยขึ้นมาพร้อม ๆกันเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ
           เพราะเหตุนั้นบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายให้พึงโอปนยิโกน้อมเข้ามาสู่ตัวของตัว ทั้งหมดในบรรดาธรรมทั้งหลายที่ได้อธิบายมานี้เวลานี้เรากำลังอยู่ในความลี้ ลับอันใดก็ลี้ลับเสียทั้งนั้นสำหรับเราซึ่งกำลังลุ่มหลงอยู่รูปจะเป็นรูป ชั่วก็ตามรูปดีก็ตามมันให้เกิดได้ทั้งความดีใจและเสียใจ สิ่งเหล่านั้นจึงกลายเป็นของลี้ลับ
           เพราะธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งเป็นของใหญ่โตที่สุด แต่เราไม่มองเห็นด้วยตาและไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยใจด้วยนั้นคืออวิชชา แต่มันก็อยู่กับใจนั่นเองแต่เราไม่สามารถที่จะรู้ธรรมชาตินั้นเป็นธรรมที่ ลี้ลับที่สุดสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นบริษัทบริวารที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาตินั้น เลยกลายเป็นของลี้ลับไปตาม ๆกันพอธรรมชาตินี้ได้ถูกเปิดเผยขึ้นแล้วด้วยปัญญาเท่านั้นสภาวธรรมทั้งหลาย ก็ได้เปิดเผยหมด จนกระทั่งถึงวิวัฏฏะคือพระนิพพานเสียเองก็ถูกเปิดเผยไปพร้อม ๆ กันนี่ท่านแนะการปฏิบัติเพื่อความเปิดเผยอย่างนี้
           เราทำข้อวัตรปฏิบัติทุกชิ้นทุกอันก็ตาม เพื่อความเปิดเผยทั้งสิ่งที่เป็นวัฏฏะทั้งสิ่งที่เป็นวิวัฏฏะขอให้บรรดาท่าน ผู้ฟังทั้งหลายได้กำหนดพินิจพิจารณาเข้ามาสู่ตนของตนเสมอให้เป็นผู้มีความ เป็นอยู่ด้วยสติด้วยปัญญาทุกอิริยาบถพวกท่านทั้งหลายจะได้เห็นความเปิดเผย ทั้งวัฏจักรด้วย ทั้งวิวัฏจักรด้วยในสนฺทิฏฺฐิโกความเห็นเองของบรรดาท่านทั้งหลายเอง
           ในอวสานแห่งพระธรรมเทศนานี้ขอบุญญานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งพระธรรมและพระสงฆ์จงดลบันดาลให้บรรดาท่านทั้งหลายให้มีความเจริญงอกงาม
แสดงธรรมโดย พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๐๕
ที่มา: วิชาการ.คอม : www.vcharkarn.com

0 comments:

Post a Comment

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Gu