20120927

การละสักกายทิฏฐิ

การละสักกายทิฏฐิ


พระโสดาบันคือผู้ละสักกายทิฏฐิได้เด็ดขาด พวกเราผู้ที่ปรารถนาจะบรรลุโสดาบันปัตติผลจึงควรสนใจศึกษาเรื่องสักกายทิฏฐิให้ดี

สักกายทิฏฐิคือ ความเห็นผิดว่ากายใจหรือรูปนามหรือขันธ์ 5 เป็นตัวเราของเราอย่างแท้จริง   ดังนั้นเมื่อปรารถนาจะละความเห็นผิดเกี่ยวกับรูปนาม   ก็จำเป็นต้องศึกษาเข้ามาที่รูปนามหรือกายใจของตน   จะเที่ยวไปศึกษาเรื่องอื่นเพื่อจะทำลายความเห็นผิดเกี่ยวกับรูปนามไม่ได้   จำเป็นต้องหมั่นศึกษารูปนามของตนจนเกิดความรู้ถูกเข้าใจถูก ว่าตัวเราไม่มี   มีแต่รูปกับนาม เมื่อเกิดความรู้ถูกแล้ว   ความเห็นผิดก็เป็นอันถูกละไปเองเรียบร้อยแล้ว

การศึกษารูปนามเพื่อให้เกิดความรู้ถูกเข้าใจถูกนี้เองคือสิ่งที่เรียกว่า การ เจริญวิปัสสนา   ดังนั้นถ้าจะเจริญวิปัสสนาก็ต้องรู้รูปนาม   ถ้าพยายามหรือหลงไปรู้สิ่งอื่นก็ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา   นี้แหละเป็นทางเดียวที่จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติละสักกายทิฐิได้
          สักกายทิฏฐินั้นชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นความคิดความเห็นและตามธรรมดา ของปุถุชนนั้นย่อมจะมีความเห็นผิดอยู่เสมอ   จะให้เห็นถูกอย่างพระอริยบุคคลไม่ได้   แม้จะพยายามใช้ความคิดหรือใช้ความเห็นพิจารณารูปนามของตนอย่างไร   ก็จะเข้าใจได้เพียงแค่ว่าตัวเรามีอยู่   แต่อาจจะมีอยู่อย่างถาวรในลักษณะที่ว่าเมื่อกายนี้ตายลงจิตวิญญาณก็ออก จากร่างไปเกิดใหม่   หรือบางคนก็เห็นว่าเรามีอยู่   แต่มีอยู่เพียงชั่วคราวเมื่อตายแล้วก็ขาดสูญไปเลยก็ได้
          ความเห็นผิดว่าเรามีอยู่นี้แหละคือสักกายทิฏฐิ   ไม่ว่าจะพยายามคิดอย่างไรว่าเราไม่มี   สิ่งที่รู้สึกได้ก็ยังมีเราอยู่นั่นเอง
 
          แต่พวกเราเกิดความรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน   เราจะหลุดออกมาจากโลกของความคิดมาอยู่กับโลกของความจริงอันมีสภาพรู้ ตื่น และเบิกบาน   จากนั้นเมื่อสติเกิดระลึกรู้กายก็จะรู้สึกได้ทันทีว่ากายไม่ใช่เรา   แต่เป็นเพียงก้อนธาตุหรือรูปธรรมที่มาประชุมกันอยู่ชั่วคราว   มีธาตุหมุนเวียนไหลเข้าไหลออกเป็นนิจ   มีความทุกข์บีบคั้นอยู่เป็นนิจ   และไม่อยู่ในอำนาจบังคับ   และเมื่อสติเกิดระลึกรู้จิตก็จะรู้สึกได้ว่าจิตและเจตสิกไม่ใช่เรา   แต่เป็นเพียงสภาพธรรมบางอย่างที่รู้อารมณ์   มีลักษณะเกิดดับต่อเนื่องกันไปอย่างรวดเร็ว   ไม่คงทนอยู่ได้และบังคับไม่ได้   เมื่อเห็นอย่างนี้มากเข้าในที่สุดปัญญาก็จะแก่รอบ   แล้วเกิดความรู้ความเข้าใจและยอมรับความจริงขึ้นอย่างฉับพลันว่าเราไม่มี   มีแต่รูปกับนามซึ่งเกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย   สักกายทิฏฐิก็เป็นอันถูกทำลายลงไปในทันทีนั้น
          ขอให้พวกเราหยุดความพยายามที่จะทำลายสักกายทิฏฐิด้วย วิธีการต่างๆ แล้วหันมาปลุกจิตให้ตื่นขึ้นเป็นจิตผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน แทนที่จะเป็นเพียงจิตผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง เมื่อจิตตื่นขึ้นมาแล้วก็หมั่นมีสติตามรู้กายตามรู้ใจอยู่เนืองๆ นี้ไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย   แต่มันยากตรงที่พวกเราเอาแต่คิดหรือพยายามหาวิธีปฏิบัติต่างๆ นานา   แทนที่จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วตามรู้กายตามรู้ใจไปตามความเป็นจริงด้วยจิตใจที่ ปกติธรรมดานี้เอง
โดย พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ที่มา: วิชาการ.คอม: www.vcharkarn.com
 

0 comments:

Post a Comment

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Gu